ขนมครก

หากกล่าวถึงขนมไทยโบราณที่มีวิธีการทำเป็นเอกลักษณ์และคนรู้จักกันเป็นส่วนใหญ่ หนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อ ขนมครก อยู่ด้วยแน่นอน เพราะขนมชนิดนี้จำเป็นต้องอาศัยถาดหลุมในการทำให้สุก และที่มาของชื่อก็มาจากถาดหลุมที่ใช้ทำขนมด้วย เรียกว่าเป็นขนมไทยโบราณที่ยังคงมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ทว่าสูตรโบราณกับสูตรที่หลายคนทำทานกันในปัจจุบันนี้แตกต่างกันอยู่พอสมควร 

ทำความรู้จัก ขนมครก สูตรโบราณ ต้นตำรับที่แตกต่างจากอาหารในปัจจุบัน

ขนมครก

ขนม ครก เป็นขนมไทยที่ถูกสันนิษฐานว่าได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสมัยอยุธยา และด้วยความที่คนไทยนิยมทานข้าวเป็นอาหารหลัก จึงได้มีการนำข้าวมาประกอบเป็นเมนูอาหารคาวและของหวาน เช่นเดียวกับขนมครก หากเป็นสูตรโบราณขนานแท้จะใช้ข้าวสารมาทำเป็นแป้งด้วยเครื่องโม่ นอกจากนี้ยังใช้กะทิคั้นสดด้วย ถือเป็น ขนมไทย โบราณ อีกหนึ่งชนิดที่มีความพิถีพิถันอยู่พอสมควร ซึ่งแตกต่างจากสูตรปัจจุบันที่มักใช้แป้งและกะทิสำเร็จรูป จึงกลายเป็น ขนม ไทย ง่ายๆ ที่ใครก็สามารถทำได้ไม่ยาก 

แจกสูตร ขนมครก โบราณของแท้ โม่แป้งเองสด ๆ รสสัมผัสนุ่มละมุน ทำด้วยเตาถ่าน

ขนมครก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าขนมชนิดนี้หาทานได้ง่าย แม้ว่าจะเป็นขนมโบราณก็ตาม ทว่าในปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป แต่ส่วนใหญ่จะไม่ใช่ ขนมครกโบราณ เนื่องจากสูตรโบราณจะมีขั้นตอนการทำอย่างพิถีพิถัน แตกต่างจากสมัยนี้ที่เน้นความรวดเร็วและความสะดวกสบาย เราจึงได้เห็น ขนมครก ง่าย ๆ กันอยู่บ่อย ๆ อย่างไรก็ตามหากคุณกำลังมองหา ขนม ครก สูตรโบราณแบบแท้ ๆ ใช้แป้งโม่เองและทำด้วยเตาถ่าน วันนี้เราก็นำสูตรโบราณมาแนะนำด้วย 

ส่วนผสมแป้งขนมครก

  1. ข้าวหอมมะลิใหม่ 500 กรัม
  2. น้ำสะอาด 1,500 กรัม
  3. หัวกะทิ 150 กรัม
  4. น้ำตาลโตนด 150 กรัม
  5. เกลือ 1 ช้อนชา
ขนมครก

ส่วนผสมหน้ากะทิ

  1. หัวกะทิ 150 กรัม
  2. น้ำตาลทราย 60 กรัม
  3. เกลือ 1 ช้อนชา

วัตถุดิบเพิ่มเติมสำหรับทำขนมครก

  1. กากมะพร้าว (สำหรับห่อตัวชุบน้ำมันเช็ดเบ้าถาด)
  2. หัวกะทิ (สำหรับเคี่ยวเอาน้ำมันขี้โล้) 500 มิลลิลิตร
  3. ต้นหอมซอย (สำหรับโรยหน้า)

วิธีการทำขนมครก

ขนมครก
  1. นำข้าวหอมมะลิใหม่มาซาวน้ำให้สะอาด 2-3 รอบ จากนั้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ และนำไปแช่น้ำอย่างน้อยอีก 6 ชั่วโมง
  2. เตรียมทำแป้งขนมครก เริ่มจากนำหัวกะทิไปเคี่ยวด้วยไฟกลางค่อนอ่อน โดยเคี่ยวจนกะทิเป็นขี้โล้และกากกะทิมีสีเข้มขึ้น ถือว่าใช้ได้ จากนั้นกรองเอาแต่น้ำมันใส ๆ 
  3. โม่ข้าวและน้ำแช่ข้าวให้หมดจนได้ส่วนผสมที่เป็นแป้งพร้อมทำขนมครก นำน้ำตาลโตนด เกลือ และหัวกะทิ มาผสมกันจนละลายดี จากนั้นนำไปเทลงในแป้งที่โม่ไว้เมื่อสักครู่ คนผสมให้เข้ากัน
  4. ทำในส่วนของหน้ากะทิ โดยนำน้ำตาลทราย เกลือ และหัวกะทิ มาผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้ สำหรับตัวชุบน้ำมันเช็ดเบ้าขนมครก แนะนำให้ใช้ผ้าห่อกากมะพร้าวและมัดไว้ให้แน่น
  5. จุดเตาถ่านเตรียมไว้ จากนั้นตักขี้เถ้าคลุมไฟให้รุม ๆ ตั้งถาดขนมครก ชุบน้ำมันใส ๆ ที่ได้จากหัวกะทิ นำมาเช็ดเบ้าขนมครกให้ทั่วถาด 
  6. เมื่อถาดร้อนได้ที่แล้วหยอดแป้งลงไป โดยหยอดวน ๆ ลงที่เบ้าด้านนอกก่อน เสร็จแล้วค่อยหยอดลงเบ้าด้านใน
  7. เมื่อหยอดแป้งขนมครกเสร็จแล้ว ให้รีบหยอดหน้ากะทิตามลงไป ปิดท้ายด้วยการโรยต้นหอมซอย หลังจากนั้นนำฝามาปิดไว้สักพัก เมื่อแป้งสุกแล้วให้ใช้ช้อนตักขนมครกออกจากถาด จัดเสิร์ฟใส่ใบตอง ถือเป็นอันเสร็จ

เทคนิคการโม่แป้ง ขนมครก ให้เหมือนต้นตำรับสูตรโบราณ

ขนมครก

การโม่แป้งเป็นขั้นตอนที่จะทำให้เราได้แป้งสำหรับทำขนมครก หากใครที่อยากลองทำตามสูตรโบราณ จำเป็นต้องมีเครื่องโม่แป้ง หลังจากล้างข้าวสารจนสะอาดและแช่น้ำครบ 6 ชั่วโมงแล้ว ให้นำข้าวสารมาโม่พร้อมกับน้ำแช่ข้าว โดยโม่ครั้งละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้เม็ดข้าวละเอียด วิธีนี้ถือเป็น สูตร ขนม ไทย โบราณที่นิยมทำกันในอดีต เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีแป้งสำเร็จรูป แต่ในสมัยนี้จะมีวัตถุดิบให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย จึงกลายเป็น ขนม ไทย ทำ ง่าย ที่ใช้เวลาไม่นาน 

ขนมครกมีมาอย่างช้านาน นิยมรับประทานคู่กับน้ำตาลทราย

ขนมครก

ขนม ครก เป็นขนมไทยโบราณที่บางคนนิยมนำมาจิ้มกับน้ำตาลก่อนทาน โดยเฉพาะในแถบภาคใต้จะนิยมทานกันอย่างแพร่หลาย แต่มีข้อแม้ว่าขนมครกนั้นจะต้องเป็นสูตรโบราณ จึงจะทานคู่กับน้ำตาลได้อร่อยลงตัว เนื่องจากสูตรโบราณนั้นจะปรุงรสแบบไม่หวานมาก ต่างจากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ขนม หวาน ไทย ชนิดใดก็ตาม ส่วนใหญ่มักจะมีรสหวานโดด แต่ทว่าวิธีทำขนมในปัจจุบันนี้จะง่ายกว่าในอดีตมาก สำหรับใครที่สนใจเมนู ขนมไทย ทำเอง สามารถนำสูตรนี้ไปปรับใช้ให้เข้ากับยุคปัจจุบันได้เลย

อ่านบทความอื่นๆ: