ขนมบัวลอย เป็นขนมไทยโบราณที่อยู่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แม้ไม่มีประวัติความเป็นมาที่แน่ชัดว่าเริ่มต้นจากที่ไหนและใครเป็นผู้คิดค้น แต่ทุกภาคของประเทศไทยก็มีเมนูขนมหวานถ้วยนี้เป็นขนมคู่สำรับมาช้านาน เพราะไม่เพียงแต่ความหอมหวานของน้ำกะทิและแป้งนุ่มๆ ที่ใครได้ทานก็อร่อยติดใจเท่านั้น แต่ด้วยความหมายที่เป็นมงคลของขนมบัวลอย ที่สื่อความหมายดีๆ ให้คนในครอบครัวกลมเกลียวเหนียวแน่น ยังส่งผลให้ขนมบัวลอยได้รับความนิยมนำมาทำรับประทานในงานบุญและงานมงคลต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่รับประทานรักใคร่กลมเกลียวกัน เหมือนความหมายดีๆ ของขนมหวานถ้วยนี้อีกด้วย

ขนมงานมงคล แป้งเหนียวนุ่มหนึบหนับ หอมหวานกะทิ
การทำขนมบัวลอยให้หอมหวานกะทิ เนื้อแป้งเหนียวนุ่มหนึบหนับนุ่มลิ้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะในปัจจุบันวิธีทำขนมบัวลอยมีตัวช่วยดีๆ มากมาย ทั้งส่วนผสมและขั้นตอนการทำ ช่วยให้การทำขนมหวานงานมงคลถ้วยนี้เป็นเรื่องง่ายและสนุก เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับเป็นกิจกรรมที่ทุกคนในครอบครัวจะได้ลงมือช่วยกันทำ

ส่วนผสมสำคัญของขนมบัวลอย
ส่วนผสมบัวลอย
1.แป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วยตวง
2.แป้งสาคู 1/2 ถ้วย
3.เผือกสุก 1 ถ้วย
4.ฟักทองสุก 1 ถ้วย
5.มันเทศนึ่งสุก 1 ถ้วย
4.น้ำใบเตยหอมเข้มข้น
5.แป้งมัน
6.น้ำเปล่า
ส่วนผสมน้ำกะทิ
1.กะทิ 2 ถ้วย
2.น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
3.น้ำตาลมะพร้าว 100 กรัม
4.เกลือป่น 1 ช้อนชา
5.ไข่ไก่หรือไข่เป็ด เนื้อมะพร้าวอ่อน งาขาว (มีหรือไม่ก็ได้)

ขั้นตอนและวิธีทำขนมบัวลอย
ขั้นตอนการทำบัวลอย
1.นำแป้งข้าวเหนียวและแป้งสาคูมาร่อนผสมกัน จากนั้นแบ่งแป้งที่ผสมแล้วเป็น 4 ส่วนตามสีที่เราต้องการผสม
2.นำเผือก ฟักทองและมันเทศนึ่งให้สุก
3.เตรียมน้ำใบเตยหอมเข้มข้น ด้วยการหั่นใบเตยหอมเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปปั่นกับน้ำเปล่าเล็กน้อย ปั่นใบเตยหอมให้ละเอียด แล้วนำไปกรอง
4.นำเผือกที่นึ่งสุกแล้วบดให้ละเอียด จากนั้นค่อยๆ เทแป้งที่เตรียมไว้ใส่ลงไป นวดแป้งกับเนื้อเผือกให้เข้ากัน โดยสัดส่วนให้ใช้ 2 : 1 เช่น เนื้อเผือก 1 ถ้วย ให้ใช้แป้งผสม 1/2 ถ้วยโดยประมาณ
5.ในขณะนวดเนื้อเผือกกับแป้ง หากรู้สึกว่าแป้งแห้งไป ให้เติมน้ำทีละน้อย จนกว่าจะนวดได้ที่
6.ทำเช่นเดียวกันนี้กับเนื้อฟักทองและเนื้อมันเทศ
7.นำแป้งส่วนสุดท้ายมาผสมกับน้ำใบเตยหอมเข้มข้น ค่อยๆ เทน้ำใบเตยหอมลงไปในถ้วยแป้งที่เหลือ นวดแป้งกับน้ำใบเตยหอมให้เข้ากัน หากรู้สึกว่าแป้งแห้ง ให้เติมน้ำทีละน้อย จนกว่าจะนวดได้ที่เช่นเดียวกัน
8.ปั้นแป้งที่นวดเสร็จแล้วเป็นก้อนกลมๆ ขนาดเท่ากัน โรยแป้งมันบางๆ ให้ทั่วเพื่อไม่ให้แป้งที่ปั้นแล้วติดกัน โดยปั้นแป้งสีเขียวแยกไว้ต่างหาก เนื่องจากแป้งสีเขียวเป็นเนื้อแป้งล้วนๆ จำเป็นต้องใช้เวลาต้มให้นานกว่าแป้งสีอื่นๆ
9.หลังจากปั้นแป้งทั้งหมดเสร็จแล้ว ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือด นำแป้งบัวลอยเผือก ฟักทองและมันเทศลงไปต้ม ในขณะต้มให้คนเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เม็ดแป้งติดกัน คนจนกว่าเม็ดแป้งจะลอยขึ้นมา ถือว่าสุกแล้ว
10.นำกระชอนซ้อนเม็ดแป้งที่ลอยขึ้นมา ตักเม็ดแป้งใส่ในน้ำเย็นเพื่อน็อกไม่ให้เม็ดแป้งสุกจนเกินไป
11.เมื่อต้มเม็ดแป้งสีต่างๆ สุกหมดแล้ว นำเม็ดแป้งสีเขียวลงไปต้ม ทำทุกขั้นตอนที่เหลือเช่นเดียวกัน
ขั้นตอนการทำน้ำกะทิ
1.นำกะทิใส่หม้อตั้งไฟให้ร้อน คนกะทิเรื่อยๆ ไม่ต้องให้กะทิเดือด หากมีเนื้อมะพร้าวให้ใส่เนื้อมะพร้าวลงไป ใส่น้ำตาลหรือน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้
2.เมื่อน้ำกะทิร้อนได้ที่ นำเม็ดบัวลอยที่ลวกแล้วใส่ลงไป ตามด้วยไข่หวานที่ต้มแล้ว โดยในส่วนของการต้มไข่หวานนั้น จะนำไข่ต้มในน้ำเชื่อม ไม่ต้มในน้ำกะทิ เพื่อให้น้ำกะทิขาวสวยเช่นเดิม
3.ตั้งหม้อขนมบัวลอยทิ้งไว้สักครู่ ปิดไฟยกลง ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟ เป็นอันเสร็จ
การทำขนมบัวลอยอาจใช้เวลานานสักนิดในขั้นตอนการปั้นแป้ง ซึ่งถ้าหากใครมีเวลาไม่มากจะลดสีสันของแป้งบัวลอย ให้เหลือเพียง 1 – 2 สีก็จะช่วยประหยัดเวลาในขั้นตอนการทำแป้งบัวลอยลงไปได้มากทีเดียว เท่านี้ใครอยากทำขนมบัวลอยทานเองก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว
อ่านบทความเกี่ยวกับอาหารเพิ่มเติมได้ที่ >> https://reds4families.com/